ได้มีโอกาสอ่าน story of appreciation ในภาษาอังกฤษแล้วชอบใจค่ะ เลยตามหา version ภาษาไทยใน web แล้วก็เจอคนใจดีแปลไว้จริงๆ..เรื่องมีอยู่ว่า
————————————————————
หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้วผู้อำนวยการได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ผู้อำนวยการเห็นข้อมูลในประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมานับตั้งแต่อุดมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย
ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า “เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มตอบว่า “ไม่เคยครับ” ผู้อำนวยการถามต่อว่า “คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม?” เด็กหนุ่มตอบว่า “คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม” ผู้อำนวยการถามต่อว่า ” คุณแม่ของเธอทำงานอะไร?” เด็กหนุ่มตอบว่า “คุณแม่ทำงานซักรีดครับ”
ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู ผู้อำนวยการถามต่อว่า “เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า?” เขาตอบว่า “ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ” ผู้อำนวยการบอกว่า “ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้เมื่อกลับถึงบ้าน ช่วยล้างมือคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า”
ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก เมื่อเด็กหนุ่มกลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนมือสั่นระริก
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มาส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน รอยแผลเหล่านี้คือราคาที่แม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขาและอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นาน
เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มเดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการด้วยรอยรื้นในดวงตา สังเกตเห็นดังนั้ผู้อำนวยการจึงเอ่ยขึ้นว่า “ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเมื่อคืนที่บ้านเธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร” เด็กหนุ่มตอบว่า “ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ” ผู้อำนวยการบอกว่า “ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง”
เด็กหนุ่มตอบ “ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงาน ผมได้เรียนรู้ว่ามันยากลำบากแค่ไหนกว่าจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้สำเร็จ ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความรักความผูกพันในครอบครัว”
ผู้อำนวยการจึงบอกว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอยากได้คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง และอยากได้คนที่ไม่ได้คิดถึงเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ”
ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี
ว่ากันว่า เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัย ได้รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก เขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่ เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่าใครๆจะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไรและมักจะโทษคนอื่น คนลักษณะนี้เขาอาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกพอ
ถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้ จงถามตัวเราว่า เรากำลังให้ความรักกับลูกหรือ กำลังทำลายเขากันแน่? เราให้ลูกๆ มีบ้านใหญ่ๆ อยู่และกินอาหารดีๆ เรียนเปียโน ดูทีวีจอยักษ์ แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย หลังอาหาร ให้เขาล้างถ้วยชามของตัวเองพร้อมๆกับพี่ๆน้องๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้ แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ รู้คุณค่าของความพยายาม ได้รู้จักว่าความยากลำบากเป็นยังไงและได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น
————————————–
ขอบคุณข้อความดีดีจาก
http://www.liferevo.org/index.php?option=com_content&task=view&id=472&Itemid=64