The September Issue เป็นหนังสารคดีที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ตอนที่เจ้าแม่แห่งวงการแฟชั่นคือ Anna Wintour บก.บริหารของ Vogue ฉบับอเมริกา (Vogue=สมัยนิยม, แฟชั่น) และทีมงานกำลังเตรียมทำ Vogue ฉบับเดือน กันยายน ปี ค.ศ. 2007 ซึ่งว่ากันว่าเป็นฉบับที่ทำหน้าที่ในการกำหนดแนวของแฟชั่นในปีนั้นๆ จึงถือว่าเป็นฉบับที่สำคัญที่สุดของแต่ละปี
หนังนำเสนอเรื่องราวของวงการแฟชั่นแบบตรงไปตรงมา ทำให้เข้าใจได้ว่าวงการแฟชั่นเป็นธุรกิจหนึ่งที่มีเม็ดเงินเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมหาศาล และดูเหมือนจะเป็นธุรกิจที่จริงจังมากกว่าที่เห็น และการนำเสนอเรื่องราวในหนังสือเล่มหนึ่งๆ นั้น ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ ทุกอย่างต้องมี Theme มีเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน
ดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบผู้หญิงสองคนคือแอนนา (บก.บริหาร) และเกรซ (บก.แฟชั่น) เอา มากๆ แม้ว่ามุมมองในการทำงานของทั้งคู่จะไม่เหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดต่างก็ยอมรับนับถือในผลงานของกันและกัน
ชอบคำถามที่ผู้กำกับถามแอนนาว่าจุดแข็งของเธอคืออะไร เธอตอบว่า คือการมีความกล้าที่จะชี้ขาด และจุดอ่อนของเธอคือเรื่องลูกๆ ในหนังเราจะได้เห็นลูกสาวของแอนนา ที่ท่าทางจะมีลักษณะคล้ายแม่ สังเกตจากการตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกภาพที่จะนำไปลงนิตยสารช่วยแม่ ดูเหมือนว่าแอนนานั้นอยากให้ลูกสาวดำเนินรอยตามอาชีพของตัวเอง แต่ลูกสาวอยากเรียนต่อทางด้านกฎหมายมากกว่า ตอนที่ลูกสาวบอกว่าเรื่องแฟชั่นดูเหมือนจะไม่เข้ากับตัวเอง และคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระเท่าไร (เมื่อเทียบกับเรื่องกฎหมายที่เธออยากเรียน) เลยได้เห็นแอนนายิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดูในความคิดลูกสาว และบอกว่า แล้วจะได้เห็นกัน (ดูท่าว่าเธอจะเห็นว่าลูกสาวมีหัวทางด้านนี้อยู่ไม่มากก็น้อย)
สำหรับเกรซที่เคยผ่านการเป็นนางแบบที่รุ่งเรืองในสมัยสาวๆ แต่ได้รับอุบัติเหตุรถชนจนเสียโฉมและเดินได้ไม่เหมือนปกติ ทำให้เธอเปลี่ยนมายึดอาชีพบรรณาธิการด้านแฟชั่น ซึ่งเธอก็บอกว่ากว่าจะไต่เต้าขึ้นมาจนถึงตำแหน่ง บก.ได้ต้องอาศัยความสามารถและเวลาไม่น้อย เกรซเป็นคนที่มีมุมมองทางด้านแฟชั่นสวยมาก แต่บางครั้งสิ่งที่เกรซชอบก็ไม่เข้าตาแอนนา เช่นมีภาพแฟชั่นชุดหนึ่งที่เกรซไปถ่ายมาแล้วเธอชอบมาก พอเอามานำเสนอ แอนนากลับตัดออกเพราะมันไม่เข้ากันกับ concept ของเล่มเดือนกันยายน และอีกครั้งที่เกรซให้ถ่ายแฟชั่นออกมาเป็นแบบฟิลม์มัวๆ เพื่อความสวยงามของภาพ แต่พอเอาไปเสนอ แิอนนาบอกรูปมันไม่ชัด (ตอนที่แอนนาเลือกรูป เกรซจะไม่มีโอกาสอยู่ด้วย ถือว่าการเลือกรูปเป็นสิทธิขาดของแอนนาเพียงผู้เดียว) ทำให้ผู้ช่วยอีกคนโทษว่า printer ไม่ดีพอ พิมพ์กี่ทีๆ ก็ไม่ชัด เกรซก็ออกมาบ่นว่า มันจะชัดได้อย่างไร ก็ตอนถ่ายตั้งใจให้มัวนี่นา (ขำฉากนี้มาก)
อีกฉากหนึ่งที่น่าสนใจคือ ตอนที่เกรซให้ตากล้องที่ืชื่อบ๊อบถือกล้องแล้วกระโดด โดยให้ตากล้องอีกคนถ่ายรูปไว้ และถ่ายภาพตอนที่นางแบบกระโดดเหมือนกัน แล้วนำมาตัดต่อกันเหมือนว่าทั้งตากล้องและนางแบบกำลังกระโดดอยู่ทั้งคู่ ตอนที่เอาไปให้แอนนาเลือก (เกรซไม่ได้อยู่ในห้องตามเคย) แอนนาบอกชอบรูปนี้มาก แต่น่าจะไปทำรีทัชพุงตากล้องหน่อย (ตากล้องค่อนข้างท้วม รูปที่ถ่ายออกมาก็จะเห็นพุงเป็นก้อนกลมยื่นออกมา) พอเกรซรู้เรื่องนี้ เธอรีบโทรไปบอกบ๊อบทันทีว่าอย่าให้ใครรีทัชพุงที่ย้อยๆ นั้นออก และบอกว่า คนที่ไม่มีพุงก็คือพวกนายแบบตามนิตยสาร แต่การได้เห็นพุง ทำให้เราได้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์แบบที่คนธรรมดาทั่วไปเขาเป็นกัน ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบหรอก เธอบอกไว้แบบนั้น
และก็เป็นเกรซอีกนั่นแหละ ที่พูดไว้ว่า เวลาที่นั่งรถไปไหนต่อไหน อย่ามัวแต่หลับ เพราะการมองผ่านกระจกหน้าต่างรถ ทุกสิ่งที่เราเห็น ล้วนเป็นแรงบันดาลใจใ้ห้เราได้เสมอ…อืมห์ ชอบเกรซจริงๆ
ในเรื่องมีการพูดถึง designer ไทยที่ชื่อ ฐากูร ด้วย (น่าภาคภูมิใจแทน) ดูเหมือนแอนนาจะยอมรับในฝีมือของเขามาก ตอนที่ฐากูรมาเสนองานให้แอนนา เขายอมรับว่าตื่นเต้นจนมือสั่น ในความรู้สึก เขาเปรียบแอนนาเหมือนมาดอนน่าของวงการแฟชั่น ส่วนแอนนานั้น ออกปากเลยว่าฐากูรเป็นคนเก่งและดูท่าทางจะส่งเสริมให้ฐากูรได้รับการยอมรับในวงการแฟชั่นมากยิ่งขึ้นด้วย (ดีใจแทนคนไทยที่เก่งๆ และสามารถสร้างชื่อเสียงให้ต่างชาติยอมรับได้)
บทสรุปของเรื่องก็คือหนังสือทำออกมาได้ตามที่ตั้งใจไว้ ภายใต้การนำเสนองานแฟชั่นสวยๆ ที่หลากหลายของเกรซ และการเลือกแบบชี้ขาดของแอนนา ว่าไปแล้ว ผู้หญิงแบบเกรซคือผู้หญิงที่มีความคิดสร้างสรรค์ เธอสามารถเสาะแสวงหา (find) แฟชั่นต่างๆ มานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ ในขณะที่แอนนาต้องตัดสินใจเลือก (focus) ว่าควรจะนำเสนออะไร ตัดอะไรทิ้ง ตามแนวทางของเธอเอง ซึ่งถือว่าเป็นคนที่มีความสำคัญทั้งคู่ หากขาดคนใดคนหนึ่งไปงานก็คงไม่สำเร็จ
ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงการทำงานในชีวิตจริง หากเราได้ทีมทำงานที่เก่งๆ ต่างคนต่างมีความรับผิดชอบ ไม่ก้าวก่ายงานและให้การยอมรับนับถือกันและกัน การทำงานนั้นจะสนุกสักแค่ไหนหนอ…