“จงตามหาอาจารย์ของคุณ” เป็นชื่อบทความย่อยในหนังสือเล่มหนึ่งของอาจารย์คิมรันโดที่ชื่อว่า “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” หนังสือที่ผู้เขียนเห็นว่าคนที่เป็นครูหรือศิษย์ทุกคนควรได้มีโอกาสได้ลองอ่านสักครั้ง เพราะคำโปรยบนปกหนังสือที่บอกว่า “ดีจริง” นั้น ไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
ในบทความตอนนี้ อาจารย์คิมรันโดพูดถึงการพัฒนามหาวิทยาลัยที่แม้จะกำหนดให้อาจารย์เป็นผู้ตัดสินเกรดเฉลี่ยของนักศึกษา แต่ก็พยายามผลักดันให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่แท้จริง (ซึ่งดูเหมือนจะย้อนแย้งกันอยู่ในตัว) ในขณะที่มหาวิทยาลัยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็น “ระดับโลก” มากขึ้น เรากลับพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ดูจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ในอดีตที่อาจารย์เปรียบเหมือนพ่อแม่คนที่สอง ถึงขนาดมีคำกล่าวของเม่งจื้อที่ว่า “การสอนลูกศิษย์ที่ดี เป็นความปิติชั่วชีวิตของอาจารย์” แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ความสัมพันธ์เหล่านี้เปลี่ยนไป?
อาจารย์คิมรันโดเชื่อว่า สาเหตุที่ทำให้อาจารย์และศิษย์ในปัจจุบันห่างเหินกันมากเป็นเพราะ “การพัฒนา” ของมหาวิทยาลัย เช่น การมีตึกใหม่เพิ่มขึ้น การมีห้องสมุดเพิ่มมากขึ้น หรือการมีทุนการศึกษามากขึ้น แม้กระทั่งการเพิ่มความสามารถด้านการวิจัยของอาจารย์ ฯลฯ แต่การพัฒนาเหล่านั้นลืมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ไป สังเกตจากการที่อาจารย์ในสมัยนี้ยุ่งกว่าสมัยก่อนมาก เพราะต้องเป็นทั้งผู้สอน ผู้วิจัย ผู้ให้บริการวิชาการ และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาจารย์ต้องถูกประเมินความสามารถด้วย โดยพบว่าอาจารย์ทุกคนถูกพิจารณาตำแหน่งจากผลงานวิจัย การตีพิมพ์ผลงานวิชาการ จำนวนเงินที่ได้รับจากงานวิจัย การให้บริการวิชาการ การมีส่วนร่วมในองค์กร การทำงานบริหาร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จึ่งทำให้อาจารย์ต้องทำงานหลายหน้าที่ และลงท้ายด้วยคำว่า “ยุ่งมาก”
และแม้มหาวิทยาลัยจะเพิ่มเกณฑ์การประเมินผลการเรียนการสอนมากขึ้น แต่การประเมินนี้ก็ไม่สำคัญเทียบเท่ากับผลงานต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมา ดังนั้นอาจารย์จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเตรียมคาบเรียนให้สมบูรณ์แบบ หรือสอนให้ดีที่สุด สนุกที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม อาจารย์คิมรันโดบอกไว้ว่า ไม่ใช่ว่าอาจารย์ทุกคนจะเป็นแบบนี้ เพราะมีอาจารย์บางส่วนที่ตั้งใจสอนลูกศิษย์อย่างเต็มที่ และท่านยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันนี้งานวิจัยและงานบริการวิชาการเป็นเครื่องแสดง “ความฉลาด” ในฐานะอาจารย์มากกว่าการสอน อาจารย์ส่วนใหญ่จึงสอนน้อยลง เพื่อไปทำงานวิจัย หน้าที่การสอนจึงตกเป็นหน้าที่ของอาจารย์พิเศษแทน ผลที่ตามมาคือ อาจารย์ถูกลดคุณค่าลง (มหาวิทยาลัยอาจมุ่งมั่นเรื่องอันดับมหาวิทยาลัยโลก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ในมหาวิทยาลัยสั่นคลอน)
นอกจากนี้อาจารย์ยังได้พูดถึงผลลัพธ์ของการที่อาจารย์ยุ่งมากจนไม่มีเวลาให้คำปรึกษาที่เหมาะสมกับศิษย์ รวมทั้งการที่ศิษย์ต้องเลือกเรียนวิชาทั่วไปในปีแรก (ซึ่งเป็นปีสำคัญและอ่อนไหวของศิษย์ที่ต้องการคำชี้แนะมากมาย) ทำให้ศิษย์ห่างครู-ครูห่างศิษย์ จนกว่าจะมาใกล้ชิดกันเมื่อเลือกวิชาเอกในชั้นปีที่ 2 (ซึ่งบางทีก็ดูเหมือนจะช้าเกินไปสำหรับการให้คำปรึกษา) และด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป อาจารย์ดูเหมือนจะมีหน้าที่ทำตามคำขอร้องของมหาวิทยาลัยในฐานะผู้สอน ส่วนนักศึกษามีหน้าที่เคารพอาจารย์ในฐานะผู้ให้ความรู้ ก่อให้เกิดช่องว่างและความรู้สึกอ้างว้างระหว่างสองฝ่าย นักศึกษาจึงไม่กล้าปรึกษาเรื่องส่วนตัวกับอาจารย์ เมื่อลูกศิษย์ไม่มาพบ อาจารย์อ้างว่านักศึกษาไม่มาหาเอง ส่วนนักศึกษาก็แย้งว่าอาจารย์ไม่ให้เวลา เป็นวัฎจักรแบบนี้เรื่อยไป…แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?
“ขอโทษจริงๆ” อาจารย์คิมรันโดขึ้นต้นวิธีแก้ไขปัญหาด้วยคำๆ นี้ (อาจด้วยคำแนะนำที่ดูเหมือนเข้าข้างฝ่ายอาจารย์ก็ได้) ท่านแนะนำว่า นักศึกษาควรเป็นฝ่ายเข้าหาอาจารย์ก่อน และมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาจะต้องขอร้องให้อาจารย์หันกลับมาใส่ใจลูกศิษย์อย่างแท้จริง และไม่ว่าวิธีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมที่ตามมาจะคืออะไร ท่านเสนอว่าสิ่งหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ได้ทันที คือ การไปพบอาจารย์บ่อยๆ เพราะท่านเชื่อว่า ถึงแม้อาจารย์จะยุ่งในการทำวิจัยมากแค่ไหน แต่ไม่มีอาจารย์ท่านไหนกล้าปฏิเสธลูกศิษย์ที่มีปัญหาเมื่อมาขอคำแนะนำ (เพราะยังไงอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ยังเรียกตนเองว่า “ครู” ซึ่งเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้กับผู้อื่น) นอกจากนี้ท่านยังเสริมอีกว่า นักศึกษาหลายคนอาจไม่ทราบว่าอาจารย์ส่วนใหญ่ขี้อายกว่าที่คิด และคิดว่าการเข้าหานักศึกษาก่อนเป็นเรื่องยาก
เพราะฉะนั้น สำหรับนักศึกษาทุกคน…แม้หลายครั้งจะรู้สึกลำบากใจในการไปพบอาจารย์ แต่อาจารย์คิมรันโดก็ยังยืนยันว่า “จงไปหาอาจารย์ของคุณ” เพราะท่านเหล่านั้นมีประสบการณ์ชีวิตและความรู้ด้านการศึกษาพรั่งพร้อม อย่ามัวนั่งกังวลใจอยู่เพียงคนเดียว หรือขอคำปรึกษาจากรุ่นพี่ที่ยังอ่อนประสบการณ์เช่นเดียวกับคุณ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์จะถูกแบ่งแยกโดยระบบของมหาวิทยาลัยและสังคม “คุณจงเริ่มเป็นผู้สานต่อมัน และจงอย่าลังเลใจ รีบไปพบอาจารย์ของคุณเถอะ”
อ่านบทความนี้จบแล้ว อยากบอกนักศึกษาทุกคนที่ตัวเองดูแลอยู่และกำลังประสบปัญหา (ไม่ว่าจะในระดับไหน) ว่า มาหาครูเถอะ ครูพร้อมจะดูแลพวกเราทุกคน ถ้าดูแลไม่ได้ ครูจะหาคนที่เก่งกว่าและดีกว่ามาช่วย เพราะครูเองก็เชื่อว่า แม้ตัวเองงานจะยุ่งแค่ไหน แต่การได้รับโอกาสสอนลูกศิษย์ให้ได้ดี ก็เป็นความปิติชั่วชีวิตของครูเหมือนกัน
อ้างอิง
คิมรันโด. (2556). เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด (พิมพ์ครั้งที่ 15).แปลโดย วิทิยา จันทร์พันธ์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ springbooks.