A moment in August

บทเริ่มต้น: ดึกแค่ไหนก็จะรอ

ข้อความใน chat 1 สัปดาห์ก่อนเดินทาง

ชายหนุ่ม: อาทิตย์หน้าจะมาแล้ว ทำไมช่วงนี้เงียบจังครับ
.
.
(ผ่านไปสามชั่วโมง)
.
.
หญิงสาว:…อ่า ขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ยุ่งกับการ clear งานค่ะ
ชายหนุ่ม: ถ้ามาถึงสนามบินแล้ว ให้ผมจัดรถไปรับไหม
หญิงสาว: ไม่ต้องห่วงค่ะ ทางผู้จัดอบรมเขามีรถมารับ
ชายหนุ่ม: แล้วเรื่องที่พัก ให้ผมจองให้ไหม
หญิงสาว: อันนี้ผู้จัดอบรมเขาก็เตรียมให้ค่ะ
ชายหนุ่ม: แล้วพักโรงแรมอะไร
หญิงสาว: เอ่อ..จำชื่อโรงแรมไม่ได้ค่ะ
ชายหนุ่ม: ฮ่าๆๆ (หัวเราะ) แล้วจะได้เจอกันไหมนี่!!
———
ข้อความใน chat 1 วันก่อนเดินทาง
ชายหนุ่ม: พรุ่งนี้มาถึงที่พักสามทุ่มครึ่งใช่ไหมครับ
หญิงสาว: ค่ะ ดึกนะคะ
ชายหนุ่ม: อาจมาถึงดึกกว่านั้นนะผมว่า แต่ไม่เป็นไรครับ ดึกแค่ไหนก็จะรอ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ
หญิงสาว: ok ค่ะ (ยิ้มกว้าง-คือเป็นพวกแพ้ ผช.ใจดี มีความมุ่งมั่นน่ะ 555)

———–

บทที่ 2: การมาและการมีอยู่ของดอกไม้

รถบัสขนาดสามสิบสองที่นั่งวิ่งฝ่าความมืดห่างจากสนามบินออกไปเรื่อยๆ ภาพบ้านเรือนและผู้คนข้างทางทำให้หญิงสาวครุ่นคิดถึงเรื่องบางเรื่อง..เรื่องในชีวิต ที่หากไม่พินิจให้ดีก็แทบไม่รู้เลยว่ามันมีความพิเศษในตัวมันเองเสมอ อย่างเรื่องการมาและการมีอยู่ของดอกไม้

หญิงสาวเดินทางมาเมืองนี้นับครั้งได้ นี่เป็นครั้งที่ 5 ไม่มาก..แต่ก็ไม่น้อยเกินไปสำหรับการไปเยือนสถานที่ในต่างแดนซ้ำๆ หากไม่นับรวมครั้งที่เจอชายหนุ่มครั้งแรก ทุกครั้งหลังจากนั้น..เธอจะได้รับดอกไม้

ครั้งแรก..เธอคิดว่ามันคงเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของคนที่นี้ ที่ๆ ใครๆ ก็คงให้ดอกไม้เพื่อต้อนรับแขกต่างถิ่น ก็ขนาดพี่สาวที่มารับที่สนามบินครั้งไปเยือนอัมสเตอร์ดัม ยังให้กุหลาบดอกสวยกับเธอเลย

ครั้งที่สอง..เธอเริ่มสงสัยว่า มันคงจะไม่ใช่ธรรมเนียมปฎิบัติทั่วๆ ไปกระมัง คงเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของชายหนุ่มคนนี้คนเดียว

ครั้งที่สาม..ชายหนุ่มติดธุระที่เมืองอื่นมาหาไม่ได้ แต่เขาส่งน้องชายที่น่ารักและใจดีมาเทคแคร์แทน หนุ่มน้อยผู้มีน้ำใจงาม คนที่บอกหญิงสาวว่า “วางเท้าบนตักผมสิครับ ยุงจะได้ไม่กัด” (เป็นฉากหนึ่งในชีวิตที่ลืมไม่ลงจริงๆ 555)

ครั้งที่สี่..ก็ยังมีดอกไม้ ที่ช่อใหญ่กว่าเดิม

ครั้งที่ห้า.. ชายหนุ่มก็มา พร้อมกับดอกไม้เต็มอ้อมแขน

จากครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ผ่านมาหลายปี..ชายหนุ่มก็ยังเป็นชายหนุ่มคนเดิม คนที่มาพร้อมกับดอกไม้ หญิงสาวแค่รู้สึกว่า..เธอรู้ตัวช้าไปหรือเปล่านะ..ช้าไป แค่ 15 ปีเท่านั้นเอง!! (ฮา)

————–


บทที่ 3: นัดหมาย

ริมน้ำยามค่ำคืน ลมพัดแผ่วเบา อากาศเย็นสบาย ยินเสียงสนทนา..

ชายหนุ่ม: มาเช็ค schedule คุณกันเถอะว่าเราจะเจอกันตอนไหนได้บ้าง พรุ่งนี้งานเริ่ม 8 โมง ผมมาหาที่โรงแรม 7 โมงแล้วกัน ส่วนตอนเย็น คุณมี welcome party เริ่มหกโมงครึ่ง ทุ่มหนึ่งมารับเลยได้ไหม (พูดเสร็จก็หัวเราะด้วยความชอบใจ..)
หญิงสาว: (หัวเราะ) บ้าน่า!! นี่จะให้แนะนำตัวเองเสร็จแล้วก็เดินออกมาเลยหรือไง ไม่ได้หรอกค่ะ..สองทุ่มดีกว่าน่า
ชายหนุ่ม: ทุ่มครึ่งนะ (ต่อรอง)
หญิงสาว: แหม..ทุ่มครึ่งจะส่งข้อความไปหาก่อนแล้วกันนะคะ
ชายหนุ่ม: (ยิ้มพอใจ) OK ครับ..วันถัดไป คุณต้องออกจากโรงแรมเจ็ดโมงครึ่ง ถ้าผมมาหกโมงครึ่ง จะเช้าไปไหม?
หญิงสาว: ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เช้าเท่าไร ไม่ได้ลำบากอะไร (รีบตอบ)
ชายหนุ่ม: ชอบคำตอบแบบนี้จัง

แล้วทั้งคู่ก็ประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน และวางแผนนัดกันจนถึงวันสุดท้าย


————————
บทที่ 4: ฉากที่ชอบ

ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้ามาจอดเทียบร้านข้างทาง เป็นร้านที่ตกแต่งสไตล์น่ารักร้านหนึ่ง

ชายหนุ่ม: ก่อนกลับโรงแรมแวะร้านนี้ก่อนนะ อยากให้คุณชิมอะไรหน่อย
หญิงสาว: ได้สิคะ แหม ร้านน่ารักจัง อ่ะ..ที่นั่งยังเป็น style เวียดนามแท้ด้วย!!

(ร้านข้างถนน style เวียดนามแท้มักจะตั้งโต๊ะเล็กๆ ไว้หนึ่งตัว มีเก้าอี้สองตัวนั่งชิดกัน หันหน้าออกไปทางถนนทั้งคู่ นัยว่าเป็นการนั่งแบบคู่รัก เพราะคนบางคน-คนที่พามา-เคยบอกว่า จะได้ไม่ต้องนั่งประจันหน้าเหมือนคนทะเลาะกัน นั่งชิดๆ กันความสัมพันธ์ย่อมดีกว่า)

ชายหนุ่ม: ใช่แล้ว..เลยพามาแวะไงครับ (พูดจบก็หัวเราะชอบใจ)
หญิงสาว: แหม..ยอมใจเลย (รู้ตัวว่าแพ้ ผช.แบบนี้) แล้วที่จะให้ชิมนี่มันคืออะไรคะ
ชายหนุ่ม: (เปิดเช็คคำแปลในโทรศัพท์) เอ๋..ทำไมไม่มีคำแปลไว้เลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าอะไร ช่างมันเถอะ รับรองว่าอร่อยแล้วกัน

เจ้าของร้านเอาถ้วย “สิ่งที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร” มาวางตรงหน้าหนึ่งถ้วย

หญิงสาว: (มองส่วนผสมในถ้วยแบบงงๆ เหมือนมีเต้าหู้ เห็ดหูหนูขาว ลำไย และเมล็ดอัลมอนด์ปนๆ กันในถ้วย)
ชายหนุ่ม: (ใช้ช้อนตักเต้าหู้) ผมว่าอันนี้อร่อยสุด (ยื่นช้อนมาป้อน) อ่ะ..ชิมครับ
หญิงสาว: (งับช้อน เงยหน้า เห็นสายตายิ้มๆ ของชายหนุ่มที่มองมา เธอแอบพึมพำเบาๆ ในใจว่า..ขอ freez moment นี้ไว้สักครู่ก่อนได้ไหม นี่มันฉากในซีรี่ย์เกาหลีที่พี่ชอบชัดๆ (ฮา)~)

—————-

บทที่ 5: เหตุผล

บนชั้นดาดฟ้าของตึกสูง ลมพัดแผ่วเบา อากาศเย็นสบาย..มาร์การิต้าสองแก้วถูกเสริฟเบื้องหน้าชายหนุ่มหญิงสาว

ชายหนุ่ม: ผมรู้ว่า..มาการิต้าร์คือค็อกเทลแก้วโปรดของคุณ
หญิงสาว: อ่ะ..คุณรู้มาจากไหนคะนี่
ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) facebook (ยิ้ม ยกแก้วขึ้น) เชียร์ครับ!!
หญิงสาว: (หัวเราะ ยกแก้วของตัวเองชนแก้วของชายหนุ่ม ยินเสียงแก้วกระทบกันเบาๆ) เชียร์ค่ะ!!

หญิงสาว: บนนี้บรรยากาศดีจัง สวยด้วย
ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) เพราะแบบนี้ ผมเลยตั้งใจพาคุณมาที่นี่ไงครับ
หญิงสาว: (ยิ้มดีใจ) แหม ปากหวาน.. แต่ก็ขอบคุณนะคะ
ชายหนุ่ม: (ยิ้ม เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบขึ้นมา) ขออนุญาตตอบข้อความเพื่อนแป๊บหนึ่งนะครับ (ว่าแล้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดข้อความ..แล้วเบนโทรศัพท์ขึ้นตั้งฉากกับพื้น)

หญิงสาว: นั่นแน่ คุณแอบถ่ายรูปฉันอีกแล้ว!! (ที่รู้เพราะหลายครั้งเวลาชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วมีข้ออ้างว่าตอบข้อความเพื่อน พอทานอะไรเสร็จ ก็จะมีรูปหล่อนส่งมาให้ทางข้อความทุกครั้ง)

ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) รู้ทันอีก
หญิงสาว: (หัวเราะ) ก็แหม..มีรูปส่งกลับมาทุกครั้ง คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วล่ะ คราวหน้าห้ามแอบนะ รูปมันไม่สวย บอกดีๆ เดี๋ยวแถมยิ้มสวยๆ ให้ด้วยเอ้า
ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) ok ครับ อ่ะ ถ่ายตอนนี้ได้ไหม ยิ้มด้วยครับ..(ถ่ายรูปเสร็จก็หัวเราะอีกด้วยความพอใจ)

หญิงสาว: (แอบเห็นชายหนุ่มกดรูปหล่อนส่งทางข้อความ สักพักเหมือนมีข้อความตอบกลับ ชายหนุ่มเหลือบมอง..แล้วยิ้ม)
หญิงสาว: ฉันเป็นสาวช่างสังเกตนะ คิดว่าคุณต้องคุยกับใครเรื่องฉันอยู่แน่
ชายหนุ่ม: ก็..ใช่ครับ (หัวเราะเก้อๆ) เพื่อนถามว่าพาคุณไปกินข้าวที่ไหน เป็นไงบ้าง เลยถ่ายรูปส่งไปให้ดู

หญิงสาว: แล้วเขาว่าไงบ้าง ฉันเห็นคุณยิ้มตอนอ่านข้อความ
ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) เขาอยากเจอคุณน่ะ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงทำให้ผมไม่ว่างได้ทั้งมื้อเช้าและมื้อค่ำ จนไม่สามารถไปกินข้าวกับเขาได้สักวันในช่วงนี้

หญิงสาว: (ยิ้ม)
ชายหนุ่ม: (มองหน้าหญิงสาว ยิ้ม แล้วหัวเราะ)

แล้วทั้งสองคนก็ประสานเสียงหัวเราะด้วยกัน กับเหตุผลในใจ..ที่รู้กันอยู่แค่สองคน

บทส่งท้าย
ชายหนุ่ม: มื้อค่ำพรุ่งนี้ ผมพาคุณไปพบเพื่อนสนิทผมได้หรือเปล่าครับ?

—————

บทที่ 6: คำเชิญ

มาร์การิต้าในแก้วหมดไปพักใหญ่ ได้ยินเสียงหนุ่มสาวคุยกันเป็นระยะไม่ต่อเนื่อง ช่วงเงียบเสียงเป็นช่วงเวลาแห่งการมองตา ยิ้ม และหัวเราะ

หญิงสาว: คุณยิ้มแล้วก็หัวเราะทุกครั้งที่มองฉัน มีอะไรหรือเปล่าคะ
ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) nothing
หญิงสาว: คุณก็รู้นี่นาว่า “nothing” means anything
ชายหนุ่ม: ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ ผมแค่มีความสุข
หญิงสาว: (หัวเราะ) ok ค่ะ เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้

แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะให้และกันเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

ชายหนุ่ม: ผมเข้าไปดู facebook คุณ เห็นรูปคู่ของเรา แต่ไม่เข้าใจว่าคุณเขียนอะไร
หญิงสาว: ไหนว่า google ช่วยได้นี่คะ
ชายหนุ่ม: ก็ได้ในระดับหนึ่งนะครับ แต่ไม่ทั้งหมด ภาษาไทยบางประโยคยาวมาก แปลด้วย google อ่านแล้วไม่เข้าใจเลยครับ

หญิงสาว: จริงเหรอคะ เดี๋ยวฉันลองดูที่แปลออกมาก่อนนะคะ (หยิบโทรศัพท์ ลอง copy ประโยคที่เขียนลง app แปลภาษา ก้มอ่าน..แล้วหัวเราะ) ตลกจริงๆ ด้วย

สิ่งที่หล่อนเขียนคือ “ทักผิด..ก็หาว่าความรักมันบังตา (เมื่อกี้เดินไปจิ้มหลังน้องคนหนึ่ง นึกว่าเป็นน้องกล หันกลับมา อ้าว..กลยืนอยู่ข้างหลังใส่เสื้อลาย บอกกลว่า..พี่ทักผิด นึกว่าวันนี้กลใส่เสื้อสีดำ กลบอก..”สงสัยพี่ตาบอดไปแล้วล่ะ ความรักทำให้คนตาบอดค่ะ” 555)”

และที่แปลออกมา คือ “It’s a mistake to find love. (Just to walk after a boy. I think it is a mechanical turn back. Tell me that you are wrong. Imagine that today, wearing a black shirt. I tell you .. “I was blind blind. Love makes the blind “555)”

หญิงสาว: (หัวเราะ) เอ่อ ความหมายมันตรงข้ามกับที่เขียนนะคะ โดยเฉพาะประโยคแรก ยังไงก็ตามคุณไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ฉันเขียนแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น
ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) ผมไม่ได้กังวล แค่อยากเข้าใจในสิ่งที่คุณเขียน แล้วก็สงสัยด้วยว่าทำไม comment เยอะจัง
หญิงสาว: (หัวเราะ) เพื่อนๆ ของฉันแค่กำลังสนุกกับการจินตนาการไปไกลแสนไกลน่ะค่ะ..ฉันเดาว่าสิ่งที่ฉันเขียน ทำให้พวกเขามีความสุข

ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) โอเคครับ พูดถึงเพื่อน มื้อค่ำพรุ่งนี้ ผมพาคุณไปพบเพื่อนสนิทผมได้หรือเปล่าครับ?
หญิงสาว: (ยิ้ม) ok ค่ะ
———–
เย็นวันถัดมา หญิงสาวก็ได้เจอกับ “เพื่อนสนิท” ของเขา นั่นก็คือ พี่สาวที่เขารู้จักและสนิทมานานกว่า 15 ปี 3 คน ลูกชายและแฟนสาวของพี่สาวหนึ่งในสามคนนั้น หล่อนรำพึงในใจ..คิดไว้แล้วเชียว ว่าเพื่อนสนิทของเขา ต้องไม่ใช่เพื่อนสนิทแบบที่หล่อนคิด (ฮา)

เราทานข้าวในร้านอาหารแห่งแรก ย้ายไปดื่ม soft drink ร้านถัดไป..ทุกคนใจดีกับหล่อนมาก แม้จะพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้ คืนนี้จบด้วยคำเชิญของพี่สาวคนที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม..”พรุ่งนี้เย็นเชิญทานข้าวที่บ้านพี่นะคะ”

——————–

บทเสริม 1: back hug

ข้อความมาเวลา 6.30 น. ตรงเป๊ะเหมือนทุกวันที่นัดกัน..
“ไปทานข้าวเช้ากันครับ ^^”
“วันนี้เอาฮอนด้ามารับนะครับ เพราะร้านที่ไปค่อนข้างหาที่จอดรถยนต์ยาก”

(ฮอนด้าเวียดนามคือคำเรียกมอเตอร์ไซด์ทุกยี่ห้อ เหมือนกับมาม่าเมืองไทยคือคำเรียกของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกยี่ห้อ)

บทสนทนาระหว่างทาง..

ชายหนุ่ม: เอาฮอนด้ามาก็ดีนะครับ รู้สึกเหมือนได้ back hug (หัวเราะ)
หญิงสาว: เดี๋ยวนะ.. เดี๋ยวนะคะ..คนที่ควรต้องการ back hug น่าจะเป็นฉันหรือเปล่าคะ (หัวเราะ)
ชายหนุ่ม: งั้น..คุณเปลี่ยนมาขับไหมครับ (มีความขำในน้ำเสียง)
หญิงสาว: บ้า..ถ้าให้ฉันขับนี่ back หัก กันทั้งคู่แน่

555 จบด้วยเสียงหัวเราะตามเดิม

—————-

บทเสริม 2: คำตอบ

ชายหนุ่ม: จู่ๆ คุณก็ยิ้มขึ้นมา คิดถึงอะไรอยู่เหรอครับ
หญิงสาว: (ขำเบาๆ) คือแค่คิดว่า ถ้าใครถามว่ามาเมืองกันเตอบ่อยๆ เดินทางยังไง ควรไปเที่ยวที่ไหน..ฉันตอบเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลย
ชายหนุ่ม: เพราะ..
หญิงสาว: เพราะกันเตอสำหรับฉันมันไม่ใช่สถานที่ไง..แต่คือคุณ
ชายหนุ่ม: (ยิ้มกว้าง)
——————

บทที่ 7: คำถาม (หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า)

โต๊ะอาหารมื้อค่ำ..

หญิงสาวนั่งฟังทุกคนคุยกันเป็นภาษาเวียดนาม สลับกับการฟังคำแปลที่ชายหนุ่มบอกเล่าเป็นระยะว่ากำลังพูดเรื่องอะไร เรื่องไหนที่เกี่ยวข้องกับหล่อน หล่อนก็สามารถคุยตอบเป็นภาษาอังกฤษได้เลย เพราะทุกคนในโต๊ะเป็นครูกันหมด สามารถตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษได้สั้นๆ ยกเว้นพี่สาวคนโตที่เกษียณอายุมาหลายปีแล้ว

จากคำสนทนา จากภาษาท่าทาง หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าพวกเขารู้จักหล่อนมานานแล้ว การมาเจอกันทั้งสองครั้ง ไม่มีใครถามเลยว่าหล่อนเป็นใครมาจากไหน พี่สาวคนโตเรียกชื่อหล่อนคล่องมาก แถมดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี อะไรที่หล่อนทานอย่างเอร็ดอร่อย สักพัก มันจะมาวางเพิ่มตรงหน้า พร้อมกับรอยยิ้ม พยักหน้า กระตุ้นให้หล่อนทานต่อ

บางครั้งพวกเขาคุยกันเรื่องประเทศไทย เปรียบเทียบกับเวียดนาม แล้วถามความเห็นของหล่อน มีบ้างที่พี่สาวคนรองซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าคนอื่น หันมาคุยกับหล่อนโดยตรง

พี่สาวคนรอง: เป็นไงบ้าง อาหารอร่อยไหม
หญิงสาว: อร่อยค่ะ
พี่สาวคนรอง: ชอบไหม
หญิงสาว: ชอบค่ะ
พี่สาวคนรอง: ถ้าชอบก็อยู่เวียดนามต่อไปเลย ไม่ต้องกลับไทยล่ะ ตกลงไหม (น้ำเสียงคาดคั้นนิดๆ คล้ายจะลุ้นให้ตอบตกลง หันไปมองชายหนุ่ม และหัวเราะคิกคัก ด้วยความชอบใจ)

หลังจากนั้นพี่สาวคนที่สามก็พูดเสริมขึ้นมาด้วยภาษาเวียดนาม ในขณะที่อีกคนก็พูดสนับสนุนต่อ ชายหนุ่มนั่งหัวเราะ และแปลให้หญิงสาวฟังว่า “พวกเขาคุยกันว่า ทำไมเราต้องเจอกันแค่ปีละครั้งเหมือนตำนานความรักเรื่องหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า คนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ คนหนึ่งอยู่บนโลกมนุษย์..และได้เจอกันแค่ครั้งเดียวในแต่ละปี”

นั่นสินะ..”ทำไมเราต้องเจอกันแค่ปีละครั้ง?” คำถามนี้มีแค่เราสองคนกระมัง ที่จะตอบได้..

—————-

บทที่ 8: ความจริงในความฝัน
วันนี้หล่อนมีเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หญิงสาวนึกถึงเรื่องราวระหว่างหล่อนและชายหนุ่มในปีที่ผ่านมา หล่อนบินมาหาเขาที่นี่ แต่ไม่เคยบอกใครนอกจากพ่อแม่และเพื่อนสนิทไม่กี่คน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด หล่อนบันทึกไว้เป็นนิยายสั้นๆ เรื่องหนึ่ง ทุกอย่างเขียนจากเรื่องจริง ยกเว้นความเจ็บป่วยของเขาที่หล่อนแต่งขึ้นเพื่อเพิ่มอรรถรสของเรื่อง หล่อนกลับมาอ่านเรื่องนี้อีกครั้ง และก็ได้รู้ว่าสิบปีกว่าที่ผ่านมาทั้งเขาและหล่อนมีความทรงจำร่วมกันมากมาย เช่นกัน ปีที่ผ่านมาแม้จะเป็นการเจอกันแค่ 3 วัน แต่ก็ทำให้เกิดความทรงจำใหม่ๆ ไม่น้อย หล่อนตั้งชื่อนิยายของหล่อนว่า Dream เดย์…วันแห่งฝัน
Dream เดย์ (ตอนที่ 1) ภาพซูมเข้าไปที่ร้านอาหารเช้าแห่งหนึ่ง หนุ่มสาวนั่งทานข้าวและคุยกัน หนุ่มถามสาวว่า “เมื่อคืนหลับฝันดีไหม” สาวบอก “ไม่ค่อยดีเลย ฉันฝันถึงงาน ฝันว่าเจ้านายให้เลือกว่าจะรับตำแหน่งบริหารไหม ฉันอ้ำอึ้ง แล้วปฏิเสธไป เหมือนโล่งใจ แต่กลับกังวล” หนุ่มบอก “แค่ฝัน ปล่อยมันผ่านไปเถอะ ไม่ต้องกังวลใจ” “ผมสิกลับฝันดี” พูดพลางหัวเราะ “คงเป็นเพราะได้ยิ้มได้หัวเราะกับคุณเมื่อคืนนี้ ผมไม่ได้หัวเราะมากขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วรู้ไหม?” คำตอบแบบนี้ทำให้สาวยิ้มได้ “สรุปว่าคุณดีใจใช่ไหมที่ฉันมา” หนุ่มตอบ “ไม่มีอะไรดีใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว” สาวหัวเราะ “แค่คุณดีใจ ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ” ——————- ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันคือหนุ่มที่ทำให้เรายิ้มได้ในสถานการณ์เครียดๆ
Dream เดย์ (ตอนที่ 2) เรือยนต์ลำเล็กแล่นออกไปตามลำน้ำ พาหนุ่มสาวที่นั่งเคียงคู่ชมตลาดน้ำและสถานที่ตามจุดแวะของนักท่องเที่ยว ระหว่างทาง หนุ่มบอกสาวว่าคนขับเรือมาจากหมู่บ้านเดียวกับเขา และถามเขาว่า เธอคือคนรักของเขาหรือเปล่า “แล้วคุณตอบว่าอย่างไร” สาวใคร่รู้ หนุ่มบอก “ผมแค่ยิ้ม” “ยิ้ม?” สาวย้อนถาม หนุ่มว่า “แค่ให้เขาเดาคำตอบเอาเองจากสิ่งที่เขาเห็นน่ะ ไม่มีอะไร” หนุ่มพูดพลางก้มหยิบขวดน้ำดื่ม หมุนคลายเกลียวก่อนส่งให้สาว “ดื่มน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะอธิบายว่าคืออะไร” สาวรับขวดน้ำดื่มมาถือไว้พร้อมหัวเราะ “คุณเห็นคำถามในตาฉันใช่ไหม” หนุ่มตอบ “ใช่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน คุณก็ไม่เคยเปลี่ยน ยังเป็นสาวขี้สงสัยคนเดิมเสมอ” สาวยิ้ม พร้อมถามย้อนว่า “คุณจำได้เหรอ ว่าเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไร” หนุ่มตอบ “สิบสี่ปีก่อนไง ตอนที่คุณยังเรียนอยู่” หนุ่มจ้องหน้าสาว “ตอนนั้นคุณขี้เหร่มากรู้ไหม ผมสั้น ฟันใส่เหล็กดัด ผมไม่รู้ว่าทำไมจึงสนใจคุณ ทั้งๆ ที่คุณเป็นแบบนั้น” หนุ่มพูดพลางหัวเราะเบาๆ “แต่ผมก็ดีใจนะที่ชอบคุณก่อนที่คุณจะน่ารักขนาดนี้” สาวยิ้มพร้อมตอบว่า “เช่นกัน ฉันก็ดีใจที่คุณชอบฉันตั้งแต่ตอนนั้น” ภาพความหลังผุดขึ้นมา สาวหลุดหัวเราะขำ “วันสุดท้ายของ trip ที่เราเจอกันเมื่อสิบสี่ปีก่อน ฉันจำคุณได้ชัดเจนกว่าวันไหนๆ เขาให้กล่าวคำอำลา แต่คุณขอมากกว่านั้น ที่หน้าเวที คุณขอกอดฉันก่อนจากกันต่อหน้าคนทั้ง trip ไม่รู้ทำได้ยังไง เป็นครั้งแรกที่มีคนขอฉันแบบนี้ จะไม่ให้กอดหรือ ก็เกรงคุณจะเสียหน้า” หนุ่มตอบ “ผมก็แปลกใจในความกล้าของตัวเองเหมือนกัน แต่ก็ดีใจนะที่ตัดสินใจแบบนั้น นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราสองคนมีวันนี้ไง” “ท่าจะจริงนะ” สาวตอบ แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน —————– ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันคือหนุ่มที่ชอบเราตั้งแต่เราขี้เหร่ มีลูกบ้าเล็กๆ และใส่ใจ
Dream เดย์ (ตอนที่ 3) “ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่เราเจอกันถึงวันนี้ สิบสี่ปีมีอะไรเกิดขึ้นตั้งมากมาย” สาวเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าใช่ไหม? ที่ฉันมาที่นี่” หนุ่มหัวเราะ “แค่สี่เท่านั้น ถ้ามีครั้งที่ห้า แสดงว่ามีหนึ่งครั้งที่คุณไม่ได้มาหาผม” “ไม่นะ ทุกครั้งที่มา ฉันเจอคุณเสมอ” สาวรีบตอบพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ฉันจะมาหาใครได้ ถ้าคนๆ นั้นไม่ใช่คุณ” หนุ่มยิ้มกว้างพร้อมหัวเราะเบาๆ “ครั้งแรกคุณมาที่นี่เพราะ international workshop ที่มหา’ลัย จัดขึ้น คุณเป็นนักเรียน ส่วนผมเพิ่งเรียนจบทันตแพทย์หมาดๆ ทางมหา’ลัย ขอผมมาช่วยเป็นล่ามคนหนึ่งให้กับ workshop นี้” “คุณเดินตามฉันต้อยๆ เลยนะงานนั้น” สาวเอ่ยถามแบบขำๆ “ทำไมล่ะ?” “ต้องบอกด้วยเหรอว่าทำไม” หนุ่มถามกลับ “ใช่ ผู้หญิงก็แบบนี้ล่ะ อยากรู้เรื่องแบบนี้เสมอ” “คุณรู้อยู่แก่ใจดี ไม่งั้นคุณไม่หัวเราะหรอก” หนุ่มบอก “ก็จริงนะ” สาวว่า พร้อมกับหัวเราะ “จริงๆ มันก็มีคำตอบนะ ว่าทำไมผมถึงชอบคุยกับคุณ” “เพราะคุณยิ้มง่าย คุยเก่ง และน่าจะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่คุยภาษาอังกฤษเก่งด้วย” หนุ่มว่า “วันหนึ่ง เราเข้าไปทำ workshop ในชุมชน แล้วกลับดึกมากๆ เรานั่งในเรือที่ล่องผ่านแม่น้ำช้าๆ คืนนั้นจันทร์เต็มดวงสวยมาก” “ฉันจำได้” สาวว่า “จำได้อีกว่า เราคุยกันถึงความหมายของชื่อฉัน แล้วฉันชี้ขึ้นไปที่จันทร์บนฟ้า และบอกว่า นั่นคือความหมายของชื่อที่บอกไว้” “ฉันบอกคุณว่า พระจันทร์คืนนี้สวยจัง คุณแหงนมองฟ้า แล้วมองหน้าฉัน พร้อมกับบอกว่า สวยไม่เท่าดวงที่อยู่ข้างๆ ผมหรอก” หนุ่มถาม “แล้วคุณรู้สึกยังไงตอนที่ผมบอกแบบนั้น” “ต้องบอกด้วยเหรอว่ารู้สึกยังไง” สาวย้อนถาม “คุณก็รู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วนี่” “ก็จริงนะ” หนุ่มว่า พร้อมกับหัวเราะ —————— ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันคือหนุ่มที่จดจำทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับตัวคุณได้ มันคือการแสดงความรักและความใส่ใจรูปแบบหนึ่งโดยไม่ต้องเอ่ยคำรัก
Dream เดย์ (ตอนที่ 4) สถานที่ตรงหน้าดูคุ้นตา สาวรู้สึกแบบนั้น “คุณจำ resort นี้ได้ไหม” หนุ่มถาม “ไม่แน่ใจนะ แต่ฉันจำชื่อ resort ได้ เพราะมันเขียนคล้ายๆ ชื่อคุณ” สาวตอบพร้อมหัวเราะ “ใช่” หนุ่มหัวเราะบ้าง “และผมก็เคยบอกอีกว่า มันคล้าย แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว มาเถอะ ผมจะพาไปดูข้างใน” สาวกวาดตามองรอบๆ resort บอกกับหนุ่มเบาๆ ว่า “ต้นไม้ครื้มงาม ร่มรื่นและเงียบดีจัง” หนุ่มเห็นด้วย “ผมชอบที่นี่ เพราะสิ่งที่คุณว่า สถานที่เงียบๆ ดีต่อเรา โดยเฉพาะวันนี้” “เพราะ?” สาวเอ่ยถาม “เพราะผมจะได้คุยกับคุณเยอะๆ ไง” หนุ่มตอบ “คุณมีเวลาให้ผมน้อย ผมไม่อยากให้ความบันเทิงอื่นดึงความสนใจของคุณไปจากผม” คำตอบนี้ทำให้สาวหัวเราะ “สิบปีก่อนผมเคยมาพักที่นี่คืนหนึ่งด้วย” หนุ่มบอก “กับเพื่อน?” สาวถาม “มาคนเดียว” หนุ่มรีบตอบ “ผมอยากพักจากการทำงานแบบสบายๆ บ้าง ผมชอบที่มันเงียบ เลยเลือกที่จะพักที่นี่” “อีกอย่าง คุณจำร้านอาหารตรงนั้นไดัไหม” หนุ่มชี้มือไปยังร้านอาหารตรงหน้า “หน้าตามันอาจไม่เหมือนเดิม แต่คุณน่าจะจำตำแหน่งมันได้” “อุ้ย ใช่แล้ว นี่คือร้านอาหารที่ทาง workshop จัดปาร์ตี้อำลาวันสุดท้าย มิน่าถึงรู้สึกว่าชื่อสถานที่ดูคุ้นๆ” สาวว่า “คุณจำได้แค่นั้นเหรอ” หนุ่มถาม” สาวทำหน้าแปลกใจ “คำถามคุณเหมือนมี hidden อยู่นะ คุณจะบอกว่า…” “นี่คือสถานที่ที่ผมขอกอดคุณครั้งแรกไง” หนุ่มบอก สาวพลันเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดในทันใด “แสดงว่า คุณเลือกมาพักที่นี่เมื่อสิบปีก่อน ไม่ใช่แค่เพราะความสวยและสงบของสถานที่!!” หนุ่มหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร —————– ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันคือหนุ่มที่แสดงออกว่าเขาคิดถึงคุณแค่ไหนแม้จะไม่ได้บอกตรงๆ
Dream เดย์ (ตอนที่ 5) “เพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งบอกว่า ฉันบ้ามากที่มาหาคุณถึงที่นี่ เธอว่า ฉันไม่ควรทำแบบนี้” สาวว่า “ผมดีใจที่คุณไม่เชื่อเพื่อน แต่ก็แอบคิดนิดหน่อยว่าคุณก็บ้าพอตัวเหมือนกันนะ” หนุ่มพูดพลางหัวเราะ “บางที่เราอาจบ้าด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่มาเจอกันแบบนี้” “ฉันเห็นด้วย” สาวตอบพร้อมหัวเราะเบาๆ “เหมือนว่าฉันจะตัดสินใจมาที่นี่เพราะคำพูดของคุณแค่ประโยคเดียว แต่ฉันรู้ว่าสถานการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น ทำให้ฉันตัดสินใจง่ายขึ้น” “ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน จริงๆ ผมถามคุณด้วยประโยคเดิมทุกปีนะ คือ ‘เมื่อไรคุณจะมา’ แต่คุณก็จะบอกเสมอว่า ถ้ามีโอกาสคุณจะมา หกปีกว่าผ่านไป คุณก็ไม่เคยได้มา” หนุ่มว่า “ดูคุณจะน้อยใจอยู่นะ ที่ฉันไม่ยอมมาสักที” “ก็ใช่ แต่ผมจะทำอะไรได้” หนุ่มตอบ “ผมไม่รู้จะใช้คำพูดแบบไหนดึงคุณให้มาหาผม” “คืนนั้น เป็นวันเกิดผม ผมได้รับ line อวยพรวันเกิดจากคุณเหมือนทุกปี ผมถามคุณด้วยคำถามเดิมว่า เมื่อไรคุณจะมาที่นี่อีก รู้ไหมคำตอบคุณคืออะไร?” หนุ่มถาม “ฉันรู้” สาวตอบ “ฉันก็บอกคุณเหมือนทุกปี If I have a chance, I will” “ที่น่าแปลกใจคือ คุณตอบฉันกลับมาไม่เหมือนทุกปี คุณเขียนว่า ที่ฉันไม่มาสักที หรือเพราะ ‘คนที่นี่’ ไม่มีความหมายกับฉันแล้วใช่ไหม ฉันบอกคุณทันควรว่าไม่ใช่นะ ฉันยังอยากไปเที่ยวหาคุณเสมอ และถามต่อว่า 5 ปีแล้วใช่ไหมที่เราไม่ได้เจอกัน คุณตอบว่า ไม่ใช่ 5 แต่คือ 8 โอ้..คุณรู้ไหม ว่าฉันตกใจกับคำว่า 8 ปีแค่ไหน มันเหมือนกับว่าฉันไม่ได้เจอคุณมานานมาก” “อีกอย่าง ตอนนั้นเป็นช่วงที่ฉันเพิ่งกลับมาจากยุโรปใหม่ๆ อยู่ดีๆ ฉันก็คิดได้ว่า ฉันเดินทางไปมาแทบจะทั่วโลกมาหลายปี แล้วทำไมฉันไม่เคยคิดไปหาคุณ ทั้งๆ ที่คุณอยู่ใกล้ขนาดนี้ ฉันถามว่าคุณว่างช่วงไหนของปีบ้าง คุณบอกว่าว่างตลอดเพราะคุณมีคลินิกของตัวเอง คุณจะหยุดเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้นฉันไปหาคุณได้ทุกเวลาที่ฉันต้องการ” “ฉันตัดสินใจได้ฉับพลัน เปิด year planner แล้วถามคุณว่า ฉันจะมาหาคุณช่วงนี้ได้ไหม คุณตอบ yes ฉันจองตั๋วเครื่องบิน แล้วถามคุณว่า เวลาบินแบบนี้สะดวกไหม คุณตอบ yes วันกลับต้องออกจากที่พักแต่เช้าเลย ไม่เป็นไรใช่ไหม คุณตอบ yes และบอกว่า ไม่ต้องกังวล คุณจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเอง ขอแค่ฉันบินมา ‘แค่บินมา’..คุณบอกแบบนั้น” —————– ท้ายเรื่อง: ผู้ชายในฝันคือคนที่พร้อมจัดการทุกสิ่งเพื่อคุณเสมอ
Dream เดย์ (ตอนที่ 6) “ผมดีใจที่ในที่สุดคุณก็ตัดสินใจมา” หนุ่มบอก “วันนี้คุณพูดประโยคนี้ซ้ำๆ มาสามครั้งแล้วนะ” สาวว่า “คุณจะได้ยินอีกเรื่อยๆ ” หนุ่มตอบ ประโยคนี้ทำให้สาวยิ้มกว้าง “วันนี้เราทั้งไปล่องเรือ เดินเที่ยวในสวน ผมเกรงคุณจะเหนื่อย เดี๋ยวผมไปส่งคุณพักที่โรงแรมสักแป๊บแล้วกัน พักหลับสักนิด อาบน้ำให้สบายตัวสักหน่อย อีกสองชั่วโมงผมจะมารับไปทานข้าวเย็นนะ ok ไหม” —————— ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันคือหนุ่มที่เข้าใจความต้องการของคุณ แม้คุณจะไม่เอ่ยปาก
Dream เดย์ (ตอนที่ 7) เสียงเพลง Eternal Love แว่วแผ่วเบา “..It’s a beautiful feeling What we got deep inside We got a flame that will last forever Together you and I..” “อาหารอร่อยไหม?” หนุ่มเอ่ยถาม “อืมห์ อร่อยดี ฉันชอบอาหารทะเล ยิ่งเป็นมื้อเย็นยิ่งทานได้เยอะ” “ผมรู้” หนุ่มว่า “รู้ว่า?” สาวมีคำถาม “รู้ว่าคุณทานอาหารท้องถิ่นที่นี่ไม่ค่อยได้ ตอนที่เราเจอกันเมื่อหกปีก่อนผมสังเกตว่าคุณทานได้น้อยมาก ผมเลยพามาที่นี่เพราะอยากให้คุณทานได้เยอะๆ” “ผมรู้อีกด้วยนะว่าคุณชอบทานอาหารเย็นมากกว่าอาหารเช้า” สาวย้อนถามด้วยความแปลกใจ “จริงอ่ะ?” “จริ๊งงงง” หนุ่มตอบพร้อมหัวเราะ “ผมอ่าน facebook ของคุณทุกวัน ทุก post ด้วย” “คุณอ่านภาษาไทยได้ด้วยเหรอ ส่วนใหญ่ฉันชอบเขียนเรื่องยาวๆ แล้ว post เป็นภาษาไทยทั้งนั้นเลย” สาวว่า “google translation ช่วยได้นะ แค่ copy ไปวางเอง ฮ่าๆๆ” หนุ่มตอบพร้อมหัวเราะขำ “แล้วทำไมฉันไม่เคยเห็นคุณกด like เลยสัก post” “ถ้ากด like คุณก็รู้สิ ว่าผมตามดูชีวิตคุณอยู่” “โอ้แม่เจ้า!! คุณตามมานานแค่ไหนแล้ว” “ก็แค่ช่วงหกปีที่เราไม่ได้เจอกัน” หนุ่มตอบยิ้มๆ —————— ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันคือคนที่ตามคอยดูคุณเสมอ (ถ้าคุณชอบเขา เขาคือคนที่ใช่ แต่ถ้าคุณไม่ชอบ เขาจะเป็นได้แค่คนโรคจิตชอบแอบตามเท่านั้น)
Dream เดย์ (ตอนที่ 8) “ขอถามเรื่องบางเรื่องได้ไหม” สาวเอ่ยถาม “ว่า?” “จริงๆ เราคุยกันน้อยมากนะ ฉันหมายถึงคุยกันน้อยเกือบทุกช่องทางการสื่อสาร เมื่อปีก่อน เพื่อนคนหนึ่งที่เคยได้ยินเรื่องของคุณกับฉันเคยถามว่า ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่เป็นไงบ้าง ฉันตอบเพื่อนคนนั้นว่า ก็เหมือนเดิม ไม่เดินหน้า ไม่ถอยหลัง แต่คุณจะอยู่ตรงนั้นเสมอ” “คำตอบมันอาจจะดูแปลก แต่ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ คุณจะตอบ line เสมอ ถ้าฉันส่งข้อความไป และฉันจะ line ตอบทุกครั้งที่คุณ line มา เราคุย line กัน ปีละไม่เกิน 5 ครั้งล่ะมั้ง น่าแปลกใจจัง เรา line ถึงกันวันปีใหม่ วันเกิดฉัน วันเกิดคุณ อ้อ..บ้างปีคุณ line มาหาฉันในวันสตรีสากลด้วยล่ะ ขำชะมัด” สาวว่าพร้อมกับหัวเราะ “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ” “ผมอยากบอกแค่ว่า ที่ไม่ได้ส่งข้อความอะไรไปบ่อยๆ ไม่ได้หมายถึง ‘ไม่คิดถึง’ นะ คุณอยู่ในใจผมตลอดมา หากคิดถึงผู้หญิงที่เป็น international woman สักคน ผมจะคิดถึงคุณก่อนเสมอ นั่นคือสาเหตุว่าทำไม..วันสตรีสากลคุณถึงได้รับข้อความจากผม” หนุ่มบอกขำๆ “แล้วปล่อยให้ฉันคิดว่าคุณไม่สนใจ อยู่คนเดียวมาตั้งหกปีเพื่ออะไร” สาวพ้อ “เพื่อให้เราได้เจอกันวันนี้ไง และผมก็อยู่คนเดียวมาตลอดหกปีเหมือนกัน คุณไม่เสียเปรียบหรอกน่า” หนุ่มตอบพร้อมหัวเราะ “แล้วไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนกัน ฉันอาจชอบคนอื่น มีครอบครัว อ้อ..อาจตายไปแล้วก็ได้ มันเป็นไปได้ใช่ไหม” สาวถามแบบขำๆ บ้าง “ผมเชื่อว่าอะไรที่เป็นของผม มันจะเป็นของผมวันยังค่ำ แต่ถ้าไม่ใช่..ยังไงก็ไม่ใช่” หนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง —————– ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันบางคนก็อาจเป็นได้แค่หนุ่มในฝันจริงๆ หากเขาได้แต่เฝ้ามอง
Dream เดย์ (ตอนที่ 9) “ขอบคุณนะ ที่คิดถึงกันเรื่อยมา แม้จะไม่เคยเอ่ยปาก ขอถามเรื่องที่คาใจอีกสักเรื่องมานานแล้วกัน มาครั้งนี้ฉันพกคำถามมาเยอะนะ อย่าเพิ่งเบื่อซะก่อนล่ะ” สาวว่าพร้อมหัวเราะ “ผมเองก็ตั้งใจจะตอบคำถามของคุณทุกเรื่องต่อหน้าเช่นกัน ถามมาเถอะ” หนุ่มบอก “หกปีก่อนเราเคยนั่งคุยกันแบบนี้ ช่วงนั้นคุณดูเหมือนไม่ค่อยสบายเท่าไร ฉันคิดว่าตอนนั้นเรามีใจให้กันมากนะ แต่พอพูดถึงการสร้างอนาคตร่วมกัน คุณดูอ้ำอึ้ง ฉันเลยกลับไปแบบคาใจ เหมือนคุณรักฉัน แต่ก็ไม่อยากอยู่กับฉัน..ฉันคิดเรื่องนี้มาตลอด แต่ไม่เคยเข้าใจ” “ที่มาหาคุณครั้งนี้ ก็ไม่ได้คาดหวังหรอกนะ ว่าจะได้อะไร เราอาจเจอกันแบบเดิม ฉันอาจต้องกลับไปแบบไร้คำตอบเช่นเดิม แต่ฉันก็ยังอยากมาเจอคุณอยู่ดี และหลายครั้งที่ฉันถามเรื่องเล็กๆ คุณจะตอบเสมอว่า ถ้ามาที่นี่ คุณจะเล่าให้ฟัง ทุกอย่าง ฉันว่าตอนนี้ฉันพร้อมฟังทุกเรื่องแล้ว ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะ ว่าจะบอกอะไรฉันบ้าง” สาวว่า “ผมเป็นเนื้องอกในสมอง ผมรู้สองอาทิตย์ก่อนที่เราจะเจอกันเมื่อหกปีที่แล้ว หมอบอกว่าเนื้องอกอยู่ในตำแหน่งที่อันตราย ผ่าตัดไม่ได้ ผมอาจตาบอดหรือพูดไม่ได้ ร้ายแรงกว่านั้น ผมอาจอยู่ได้ไม่ถึงห้าปี” หลังคำตอบจากหนุ่ม มีความเงียบเกิดขึ้นระหว่างหนุ่มสาวชั่วเสี้ยววินาที ภาพความทรงจำวิ่งผ่านสมองของสาว เหมือนทุกเรื่องไปกระจุก ที่ตรงหัวใจ แค่แว๊บเดียวที่รู้สึกแบบนั้น ยินเสียงหนุ่มพูดต่อ “ผม…” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” สาวเอ่ย พร้อมกับยื่นมือข้ามโต๊ะมาหาหนุ่ม “ฉันขอมือคุณหน่อย” หนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาบนโต๊ะ สาวใช้มือทั้งสองข้างกุมมือหนุ่มไว้ เธอกระชับมือเขาแน่น เงยหน้ามองเขา แล้วยิ้ม..หยดน้ำตาหยดหนึ่งหยาดข้างแก้ม “ขอบคุณนะที่ยังมีชีวิตอยู่” —————– ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันก็คือหนุ่มในฝัน เขาไม่มีทางได้อยู่กับคุณในชีวิตจริง..แน่หรือ?
Dream เดย์ (ตอนที่ 10) ตอนจบ จู่ๆ ทุกอย่างก็ดูเหมือนมีคำตอบ ว่าทำไมเมื่อหกปีก่อนเขาจึงอ้ำอึ้ง ทำไมหกปีหลังเขาจึงไม่เคยรุกเร้า ไม่แสดงทีท่าให้ความหวัง และแทบใช้ชีวิตเหมือนเงาของหล่อน ทำไมเขาจึงถามคำถามเดิมซ้ำๆ ทำไมเขาจึงพึมพำงงๆ กับซองจดหมายบนโต๊ะ ว่านี่คืออะไร ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งได้ใบเสร็จมาจาก reception และเป็นคนเอามาวางไว้เองแท้ๆ ทำไมเขาจึงดีใจมากเมื่อหล่อนบินมาหา เขาผ่านอะไรมามากเหลือเกิน..เกินกว่าขอบเขตที่หล่อนจะนึกถึงได้ นั่นคือสาเหตุที่หล่อนพูดคำนั้น “ขอบคุณนะที่ยังมีชีวิตอยู่” “ผมมีชีวิตผ่านมาทุกวันนี้ได้ก็เพราะคุณนะ ผมอยากเจอคุณอีกครั้ง” หนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมปรับเปลี่ยน life style ใหม่ ทำงานที่คลินิกแค่ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น สร้างห้องยิมในบ้าน ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 6 วัน หัดเล่นเปียโน ร้องเพลงทุกวัน กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่นอนดึก ไม่เครียด อาจเป็นโชคดีก็ได้ที่ผมมีมุมมองต่อโลกเชิงบวกเหมือนคุณ..ทัศนคติแบบนี้ทำให้ผมไม่กังวลกับเรื่องราวรอบตัว คิดแต่จะใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด” หนุ่มว่า “และผมก็มีคุณอยู่ตรงหน้า นั่นก็ดีที่สุดสำหรับผมแล้วตอนนี้” “ฉันเข้าใจ” สาวบอก “ผมรู้ว่าคุณเข้าใจ” หนุ่มว่า หนุ่มสาวต่างยิ้มให้แก่กัน แล้วหัวเราะ มันคือการปลดล๊อคทุกอย่างเกี่ยวกับความรักของคนสองคนที่ 6 ปีที่ผ่านมามีแต่ความคับข้องใจ “ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะเจอกัน เดี๋ยวคุณก็จะมาหาผมอีก” หนุ่มเอ่ยขึ้น สาวทำตาโต พลางหัวเราะ “นี่คุณเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนเนี่ย ฉันอยากรู้จริงๆ” “แล้วผมพูดถูกไหม” “ก็ถูกแหละ” สาวยอมรับตรงๆ “ฉันแพ้ทางคุณเสมอ ฉันรู้ดี ฉันอยากบอกคุณว่า if you need me, please call me แล้วฉันจะบินมาหาคุณทันที ok ตามนี้ไหม” หนุ่มยิ้ม “ok อยู่แล้ว” ทั้งคู่ต่างหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน “พรุ่งนี้ไปเดทกันตั้งแต่เช้าเลยนะ” หนุ่มว่า “เดี๋ยวผมมารับตอนเจ็ดโมง แวะไปชมคลินิกผมสักหน่อย คือต้องแอบไปเช้าๆ น่ะ กลัวลูกค้ามาเจอ ฮ่าๆๆ หลังจากนั้นก็ไปทานข้าวเช้ากันที่ coffee shop สายๆ ไปซื้อของที่ตลาด แล้วแวะเที่ยวบ้านผม วันนี้ผมจะทำข้าวเที่ยงให้ทาน คุณอาจโชคดีได้ฟังผมร้องเพลงด้วย” หนุ่มบอกพลางหัวเราะ “ช่วงบ่ายเดี๋ยวผมส่งคุณกลับมาพักที่โรงแรมสักชั่วโมง บ่ายสามจะมารับไปเที่ยวห้างกัน น่าจะมีเวลาเดินเล่น ดูหนังสักเรื่อง แล้วมาส่งคุณพักอาบน้ำอาบท่า มารับอีกทีตอนทุ่มเพื่อดินเนอร์กันนะ” “ที่ว่ามานี่ วางแผนเองหมดเลยเหรอ” สาวถาม “ทำไม คุณไม่ชอบเหรอ” หนุ่มย้อน “ไม่ใช่ไม่ชอบ ชอบมากเลยล่ะ” สาวตอบพลางหัวเราะ “คุณตรงไปตรงมาดี ผมชอบคุณตรงนี้ด้วยล่ะ ไปเดินเล่นริมแม่น้ำก่อนกลับนะ ผมยังอยากคุยกับคุณต่อ” “ok ฉันก็ยังอยากคุยกับคุณเหมือนกัน” แล้วทั้งคู่ก็ประสานเสียงหัวเราะพร้อมกันดังกว่าเดิม —————– ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันคือหนุ่มที่มีต้นแบบมาจากหนุ่มจริงๆ นั่นแสดงว่า คุณย่อมมีโอกาสได้มีความสุขจริงๆ กับหนุ่มในฝัน
Dream เดย์ (ตอนพิเศษ) (ความรู้สึกของสาวในวันที่สองของการเดท) นี่ฉันฝันไปหรือเปล่านะ..ฝันว่ามีชายหนุ่มหน้าตาดี นิสัยน่ารักคนหนึ่งมารับไปทานข้าวเช้า คุยกันอ้อยอิ่งจนสาย เดินเข็นรถเข็นเคียงกันเพื่อซื้อผักผลไม้และของสดไปทำอาหาร พอไปถึงบ้าน เขาก็บอกให้นั่งเฉยๆ เล่น net คุยกับเพื่อน ระหว่างที่เขาคั้นน้ำส้มสดๆ และยกมาให้ทานถึงที่ ถามว่าให้ช่วยอะไรไหม ก็บอกว่านั่งเล่นสบายๆ ไปเถอะ ยังไม่ต้องการความช่วยเหลือ เขาล้างผลไม้ จัดใส่จานมาวางตรงหน้า บอกว่าเวลายังเหลือเยอะก่อนทำอาหารเที่ยง เดี๋ยวจะเล่นเปียโนให้ฟังก็แล้วกัน เพลงที่เขาเล่นคือเพลงประกอบซีรี่ย์เกาหลีเรื่อง winter love song เขาบอก “ผมรู้ว่าคุณชอบซีรี่ย์เกาหลี” ฉันเลยร้องขอ “ร้องเพลงในภาษาของคุณพร้อมกับเล่นเปียโนให้ฟังหน่อยสิ” เขาปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม หลังจากนั้นเราช่วยกันทำอาหาร จริงๆ คือฉันช่วยนิดๆ หน่อยๆ ที่เหลือเขาจัดการทั้งหมด แล้วเราก็มานั่งทานข้าวกัน คุยกัน เขาพาชมบ้าน ชี้ไปที่รูปภาพหนึ่งที่แขวนในห้องนอน บอกว่าเป็นของขวัญจากประเทศไทยที่ฉันเคยให้ พาไปดูห้องออกกำลังกายในบ้านที่เห็นแล้วอึ้ง..มันคือยิมดีๆ นี่เอง ฉันบอกเขาว่า ที่บ้านฉันก็มีเครื่องออกกำลังกายนะ คือ ดัมเบลเล็กๆ คู่หนึ่ง ที่ซื้อมาเพราะอยากได้ แต่ไม่เคยยกมันเลยแม้สักครั้ง เราเลยได้หัวเราะกัน ระหว่างขับรถมาส่งที่โรงแรม เขาถามฉันว่า “รู้ไหม ทำไมวันนี้ผมไม่เล่นเพลงตามที่คุณร้องขอ” ฉันส่ายหน้า เขาบอก “เพราะผมจะเก็บไว้เล่นให้ฟังตอนที่คุณมาหาผมครั้งหน้า รู้ใช่ไหมว่าผมหมายถึงอะไร” ฉันแค่พยักหน้าและยิ้ม สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเขา มันดีซะจนนึกว่าฝันไป หากไม่ฝันก็คล้ายกับกำลังถ่ายทำซีรี่ย์เกาหลีสักเรื่อง ตอนที่พระเอกนางเอกกำลังรักกัน..มันมีความสุขซะจนคิดว่า “ฉันตายตรงนี้ได้เลยนะ ฉันพร้อมแล้ว ฉันไม่ติดค้างอะไรอีกแล้ว” (ฮา) ————— ระหว่างดินเนอร์ สาวเอ่ยว่า “ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อได้ไหม ตั้งแต่มาที่นี่คุณจ่ายให้ฉันหมด ทั้งค่าแท็กซี่ ค่าโรงแรม ค่ากิน ค่าเที่ยว ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระคุณมากเหลือเกิน” “ภาระที่ว่าน้อยกว่าความรู้สึกที่คุณมอบให้ผมเยอะเลยนะ” หนุ่มว่า “แหม คุณนี่ปากหวานเสมอ ฉันแพ้คำหวานซะด้วย” สาวตอบพลางหัวเราะ “อย่าห่วงไปเลย ผมจะดูแลทุกอย่างให้คุณเอง” หนุ่มสำทับ “คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้างไหม” สาวเอ่ย “กับคุณเหรอ” หนุ่มย้อน “ก็ใช่สิ” หนุ่มหัวเราะ “ผมอยากไปเที่ยวเมืองที่สวยที่สุดในประเทศของผมกับคุณ” “แล้วเมืองนั้นสวยที่สุดในเดือนไหน” “เดือนนี้แหละ” “ปีหน้านะ ขอเวลาคุณสักห้าวัน ผมจะบุ๊คทัวร์ให้ คุณไม่ต้องมาหาผมที่นี่ก่อน แต่บินไปสมทบที่เมืองที่เราจะเที่ยวกันเลย” “ok ฉันจะล็อควันไว้..เพื่อคุณ” หนุ่มยิ้มกว้างกับคำตอบที่สาวให้ —————- ท้ายเรื่อง: หนุ่มในฝันคือคนที่ทำให้คุณมีความสุขเหมือนฝันเมื่อได้อยู่กับเขา…
– The End –

————–

บทเสริม 3: ค่ำคืนนั้น

ค่ำคืนหนึ่งในปี 2002 คืนแห่งการอำลา Farewell Party..งานเลี้ยงคราคร่ำไปด้วยผู้เข้าร่วม workshop จากหลายประเทศใน ASEAN ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งยืนคุยกันเบาๆ ข้างเวทีการแสดง ชายหนุ่มใส่ชุดประจำชาติของเขา โพกศรีษะตามธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนหญิงสาวใส่ชุด “อ๋าวใหญ่” เป็นครั้งแรก

หญิงสาว: ชุดประจำชาติของผู้ชายดูเหมือนจะคล้ายชุดเจ้าบ่าวที่เห็นในตู้โชว์เลยนะคะ
ชายหนุ่ม: คือชุดแบบเดียวกันเลยครับ ของผู้หญิงก็คล้ายกัน เพียงแต่จะแตกต่างในรายละเอียดของผ้าที่ใช้กับสไตล์การออกแบบ..จะว่าไปก็คล้ายกับเรามางานแต่งเหมือนกันนะครับ
หญิงสาว: คุณหมายถึง?
ชายหนุ่ม: หมายถึงว่าชุดของผมกับชุดของคุณก็เหมือนชุดบ่าวสาวทั่วไป สมมุติว่า..งานนี้คืองานแต่งของเรา คุณจะ ok ไหมครับ? (ถามด้วยหน้าเปื้อนยิ้ม)

—————

บทที่ 9: ครั้งสุดท้าย

หญิงสาว: ฉันดีใจมากนะที่ได้มาเจอคุณ แต่ฉันคิดว่า แม้การเข้าร่วม workshop อาจจะทำให้เราได้พบกันต่อจากนี้ได้อีกทุกปี..แต่ปีนี้ คงเป็นปีสุดท้ายแล้วล่ะที่ฉันจะเข้าร่วม..

มีความเงียบเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่หลายวินาที

หญิงสาว: (ถามเรียบๆ แต่น้ำเสียงจริงจัง) คุณอยากรู้เหตุผลไหม ว่าเพราะอะไร?

ชายหนุ่มสีหน้าหม่นลงทันใด หลุบสายตามองโต๊ะ..แต่หล่อนยังทันเห็นรอยรื้นในดวงตาสองข้างของเขา

ชายหนุ่ม: (เงียบ)
หญิงสาว: เหตุผลคือ..
ชายหนุ่ม: (พูดสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา) ผมไม่อยากรู้ ไม่บอกได้ไหมครับ ผมรู้ว่าการเจอกันครั้งนี้ของเรามันดีเกินไป ดีเกินจนบางครั้งก็อดกังวลไม่ได้ว่า..หรือมันจะเป็นครั้งสุดท้าย
หญิงสาว: ให้ฉันบอกคุณเถอะ
ชายหนุ่ม: ผมไม่อยากฟัง
หญิงสาว: มันเป็นเรื่องจำเป็น ยังไงฉันก็ต้องบอกคุณ เหตุผลก็คือ..

————–

บทที่ 9.1: ความจริง

ขณะที่ได้ยินคำว่า ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่หล่อนจะเข้าร่วม workshop ใจเขาหล่นวูบ..หล่อนพูดอะไรต่ออีกสองสามคำ แต่เขาไม่ได้ยิน รู้สึกตัวชา หูอื้อ คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เหมือนว่าความกังวลลึกๆ ที่มีอยู่ตลอดมามีคำตอบที่ตัวเองไม่อยากจะฟัง ได้สติอีกครั้งตอนที่หล่อนบอกว่า “เหตุผลคือ..” เขาจึงพูดสวนกลับไปทันใด

ชายหนุ่ม: ผมไม่อยากรู้ ไม่บอกได้ไหมครับ ผมรู้ว่าการเจอกันครั้งนี้ของเรามันดีเกินไป ดีเกินจนบางครั้งก็อดกังวลไม่ได้ว่า..หรือมันจะเป็นครั้งสุดท้าย
หญิงสาว: ให้ฉันบอกคุณเถอะ
ชายหนุ่ม: ผมไม่อยากฟัง

หญิงสาว: มันเป็นเรื่องจำเป็น ยังไงฉันก็ต้องบอกคุณ เหตุผลก็คือ..ฉันจะมาเอง โดยไม่ต้องมีข้ออ้างเรื่อง workshop (หล่อนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น)
ชายหนุ่ม: (นิ่งงันไปชั่วขณะ หล่อนพูดว่า หล่อนจะมาเอง หมายความว่า..) (อยู่ดีๆ โลกที่หม่นเศร้าของเขาก็สว่างขึ้นทันตา เขาหัวเราพรืดออกมาแบบยั้งไม่อยู่)

หญิงสาว: (หัวเราะด้วยความขบขัน) ใช่..ฉันจะมาเอง มาหาคุณ มาพักผ่อน มาเหมือนคราวก่อนโดยที่ไม่ต้องมีงานเป็นข้ออ้าง
ชายหนุ่ม: แล้ว..แล้วทำไมคุณต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย ไม่รู้เหรอ ว่าผมกลัวคำตอบแค่ไหน

หญิงสาว: (หัวเราะเสียงอ่อย) รู้..แล้วก็ขอโทษจริงๆ ที่ล้อเล่นแบบนี้ ก็เมื่อวานคุณทำให้ฉันกังวล ถามว่าคิดยังไงกับฉัน คุณก็ไม่ตอบ วันนี้ก็เลยอยากแกล้งคืนบ้าง
ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) นี่คุณยังไม่รู้อีกเหรอ ว่าผมคิดยังไงกับคุณ
หญิงสาว: (ยิ้มกว้าง) ตอนนี้รู้ล่ะ

————–

บทที่ 9.2: feeling

ชายหนุ่ม: คุณรู้ตัวไหม เวลาที่เรามาเจอกันที่นี่ ก่อนจากกันทุกครั้ง คุณจะถามคำถามเดิมเสมอว่า ‘ผมคิดยังไงกับคุณ’
หญิงสาว: (หัวเราะ) ใช่ค่ะ ฉันก็แค่อยากมั่นใจ
ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) นี่คุณยังไม่มั่นใจอีกเหรอ 
หญิงสาว: แหม ก็คุณคุยกับฉันสารพัดเรื่อง ทั้งเรื่องการเมือง ศาสนา เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสุขภาพ จะว่าไปก็ตลกดีนะคะ เราคุยเรื่องพวกนี้กันสนุกมาก (หัวเราะ) แต่พอคุยเรื่องเรา คุณก็ชอบพูดอ้อมๆ เฉไปเฉมาอยู่นั่นแหละ

ชายหนุ่ม: ผมคิดว่าความรักมันเป็นเรื่องของ feeling นะ คำคำเดียว แทนความรู้สึกของผมได้ไม่หมดหรอก ทุกอย่างที่ผมทำให้คุณมันเป็นสิ่งที่มาจากใจ จากอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่สมอง มันคือ “feeling” (ยิ้มขำๆ)
หญิงสาว: (ยิ้ม) ok ค่ะ..ฉันจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว ว่าแต่ คุณอยากไปเที่ยวเชียงใหม่บ้างไหม ฉันน่าจะได้รับปริญญาช่วงเดือนมกราปีหน้านะคะ ถ้า..ถ้าฉันส่งงานทัน (หัวเราะ)

ชายหนุ่ม: (หัวเราะ) ตกลงจะได้รับจริงไหมครับนี่
หญิงสาว: เดี๋ยวฉันหาทางจัดการเอง ไม่ต้องห่วงค่ะ ว่าแต่คุณจะมาได้ไหมคะ
ชายหนุ่ม: น่าจะได้นะครับ ต้องเผื่อเดินทางด้วยใช่ไหม แค่ไป-กลับ ก็ใช้เวลาสองวันแล้ว
หญิงสาว: ใช่แล้วค่ะ..คุณเห็นหรือยัง ว่ามันยากแค่ไหนกว่าจะมาเจอคุณที่นี่ได้ ถ้าไม่มี “feeling” น่ะ..มาไม่ถึงหรอก

แล้วสองคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน..

—————-

บทที่ 10 (จบ) : โอบกอดความสุข

ชายหนุ่ม: (ก้มมองนาฬิกา แล้วถอนหายใจ) ถึงเวลาแล้วใช่ไหมครับนี่ ทำไมมันผ่านไปไวจัง
หญิงสาว: ใช่ค่ะ (ถอนหายใจเล็กๆ เช่นกัน แต่ก็ตัดสินใจยิ้ม พร้อมกับอ้าแขนทั้งสองออกกว้าง) กอดกันก่อนจากนะคะ
ชายหนุ่ม: (ยิ้มกว้าง สวมกอดหญิงสาวแน่น) ผมมีความสุขจริงๆ ที่คุณมา เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่น่าจดจำจริงๆ 
หญิงสาว: ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน (กอดตอบ พร้อมกับลูบหลังปลอบชายหนุ่มเบาๆ)

หนุ่มสาวจับมือกัน เดินอ้อยอิ่งมาจนถึง lobby ที่ยังเช้าเกินกว่าจะมีแขก หยุดยืน มองหน้ากัน

หญิงสาว: (กระชับมือชายหนุ่ม) ไปนะคะ
ชายหนุ่ม: ครับ (พูดพลางกระตุกมือดึงหญิงสาวเข้ามาในอ้อมแขน กอดหล่อนแน่นอีกครั้ง) เดินทางปลอดภัยนะครับ ผมจะคิดถึงคุณ
หญิงสาว: ฉันก็เหมือนกัน..

หนุ่มสาวสวมกอดกันนิ่งๆ ราวกับจะโอบกอดความสุขในวันนี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ก่อนที่จะจากกัน-เพื่อเจอกันอีกครั้ง ดั่งคำสัญญาที่ให้ต่อกันไว้…

—The END —

ใส่ความเห็น